ระวังจะต้องกินยาเป็นอาหาร ! |
|
ไม่เคยมีปรากฏการณ์ช่วงใดในประวัติศาสตร์บ้านเราเลยก็ว่าได้ ที่ผู้คนมีความตื่นตัวเรื่องอาหารเสริมและยาบำรุงต่าง ๆ เท่ายุดนี้ พ.ศ.นี้ กระจกสะท้อนที่มองเห็นได้ชัด ๆ เช่น จากโฆษณาในทีวี เคเบิ้ล อินเตอร์เน็ต และสื่อสิ่งพิมพ์อีกมากมาย กระแสการใช้อาหารเสริมถูกสำทับเข้ามาระลอกใหญ่ด้วยอิทธิพลธุรกิจขายตรง MLM บริษัทขายตรงขนาดใหญ่ๆ ล้วนแล้วแต่มีผลิตภัณฑ์อาหารในรูปที่รับประทานง่ายเป็นธงหลักของสินค้า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้ามาจากต่างประเทศ มีตั้งแต่จากสารสกัดธรรมชาติจนถึงสารเคมี มีตั้งแต่ราคาไม่กี่สิบบาทจนถึงราคาขวดละหลายหมื่นบาท แต่ที่เหมือนกันคือการขึ้นทะเบียนส่วนใหญ่เป็นการขึ้นทะเบียนอาหาร ส่วนที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาเท่าไหร่นั่น เราไม่อาจทราบได้จริง ๆ |
|
แต่ต้องไม่ลืมว่า การที่ อ.ย. รับรอง มิได้หมายความว่าคุณจะสามารถนำเอาอาหารเสริมเหล่านี้ไปใช้แทนยาได้ หรือโฆษณาสรรพคุณเสมือนหนึ่งว่าเป็นยาวิเศษ ที่สำคัญแม้ว่าบริษัทผู้ขายอาหารเสริมเหล่านี้จะบอกว่าใช้รักษาโรคหรือช่วยรักษาโรคได้เพียงใด แต่โดยกฏหมายแล้ว ถือว่าเป็นการโฆษณาที่เกินจริง หรือเป็นการหลอกลวง เพราะ อ.ย. เพียงแค่ให้การรับรองว่าเป็นอาหาร (เสริม) เหล่านั้นมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะให้คนรับประทานลงไปได้เท่านั้น อ.ย. ยังไม่เคยบอกว่า อาหารเหล่านั้นเป็นยาหรือมีสรรพคุณทางยาอย่างไร เพราะมิฉะนั้นอาหารต้องกลายเป็นยาและยาต้องถูกดูแลและควบคุมการใช้มากกว่า อย่างน้อยต้องอยู่ในความดูแลของเภสัชกรหรือสั่งโดยแพทย์เท่านั้น |
|
คำอธิบายหนึ่งที่เวลามีคนถามผมว่าอาหารเสริมนั่นนี่หรือสมุนไพรนั่นนี่รักษาโรคมะเร็งหรือแก้ไขโรคบางอย่างได้บ้างหรือเปล่า ผมมักจะตอบให้คิดว่า หากอาหารหรือสารใดในโลกที่ดีขนาดที่จะช่วยรักษา หรือแม้แต่บรรเทาอาการของโรคที่ว่าได้จริง บริษัทยายักษ์ใหญ่ในโลกนี้คงไม่ปล่อยให้อาหารหรือสารเหล่านั้นนำมาขายในรูปอาหารเสริมในบ้านเราหลอกครับ มันจะต้องนำไปศึกษาวิเคราะห์ในหลาย ๆ ขั้นตอน จนได้รับการพิสูจน์มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และได้รับการรับรองเพื่อใช้เป็นยาในมนุษย์ก่อน ส่วน อ.ย. ของประเทศไหนจะยอมรับเป็นยาได้ก็ยังเป็นขั้นตอนสำคัญ หรือเป็นงานใหญ่อันหนึ่ง ยาดี ๆ ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันก็เริ่มมาจากสารธรรมชาติหรือสารอาหารนั่นเอง ดังนั้นหากมีคนมาบอกคุณว่า ยานี้ดี สมุนไพรนี้ดีรักษาโรคมะเร็งก็ได้ ก็ขอให้ลองคิดนิดนึงว่าคนที่ค้นพบน่าจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ไปแล้ว ในฐานะที่คิดค้นยารักษามะเร็งบางอย่างได้ |
|
 |
|
"ความคิดอย่างรอบคอบและมีเหตุผล" คงไม่ใช่บุคลิกของคนไทยในอดีต ในการตัดสินหรือพิจารณาที่จะเชื่อหรือปฏิบัติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้นเราจะเห้นได้จากเรื่องใกล้ตัว เช่น ปากท้อง เรื่องความเชื่อทางไสยศาสตร์ จนถึงเรื่องไกลตัว เช่น เรื่องการเมือง เป็นต้น แต่ก็น่าเป็นห่วงกว่าที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ในบ้านเราก็มิได้ถูกสั่งสอนหรือสะสมแนวคิดที่จะพิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เหตุผลอย่างรอบคอบ ซึ่งจะว่าไปแล้วคือการคิดพื้นฐานแบบวิทยาศาสตร์นั่นเอง ยาตัวหนึ่งกว่าที่จะกลายเป็นยาต้องใช้เงินและเวลาหมาศาลในการทำวิจัยจนถึงขั้นตอนการผลักออกมาสู่ท้องตลาด นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมยาดี ๆ ของเมืองนอกมันถึงได้แพงขนาดนั้น |
|
คนไทยเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อในสิ่งที่เพื่อนฝูงหรือคนใกล้ตัวบอก แม้แต่โฆษณาซึ่งมีใครก็ไม่รู้มาบอกว่าอาหารเสริมหรือสารธรรมชาตินี้ดี มีตัวอย่างคนที่ใช้แล้วหาย เราก็แทบจะเทใจเชื่อและซื้อสินค้าเหล่านั้นมาใช้ เคยสอบถามบางคนที่ใช้สินค้าลักษณะดังกล่าว "เค้าบอกว่าเมื่อมันไม่แพงมาก ก็ลองทานดูอาจจะดีอย่างที่เค้าบอกก็ได้" โดยที่เรามิได้คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการใช้และโอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยากับยาตัวอื่น ๆ ที่เราใช้อยู่ และโอกาสที่เราจะเสียเงินทองไปโดยเปล่าประโยชน์ บางคนใช้เป็นข้ออ้างในการหยุดออกกำลังกายหรือดูแลสุขภาพด้วยวิธีอื่น ๆ เป็นข้ออ้างที่จะหยุดการใช้ยาจากโรงพยาบาลที่หมอสั่งมาเป็นเวลานาน ล่าสุดมีโอกาสได้เจอเพื่อนอาวุโสท่านหนึ่งรับประทานอาหารเม็ดที่โฆษณาทางเคเบิ้ลทีวี แล้วบอกว่าทานแล้วไตรกลีเซอไรด์ไม่สูงเลย เจาะเลือดมาแล้ว 3 เดือน ผมฟังแล้วก็ยินดีด้วยและเห็นว่าพี่แกดูสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ไดร์ฟกอล์ฟสัปดาห์ละ 3 วัน สูบบุหรี่ลลดลงมาก และควบคุมอาหารอย่างดี เจอกันหนล่าสุดมีเรื่องน่าตกใจ พี่ชายท่านนั้นดูหน้าตาเปลี่ยนไป สังเกตดูดี ๆ พบว่า เหตุเป็นเพราะผอมลงไปมาก ถามดูพี่เค้าบอกว่าไม่รู้เป็นอะไร ผมร่วงเอา ร่วงเอา จนเข้าข่ายจะเป็นคนหัวล้านเลยทีเดียว ลองไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีคนรายงานไว้เหมือนกันว่า อาหารเม็ดสกัดจากธรรมชาติที่ว่า มีผลข้างเคียงให้ผมร่วงมากกว่าปกติ
|
|
"โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม" คือซับไตเติ้ลที่รายการทีวีเกี่ยวกับผี ๆ หรือสิ่งเร้นลับ หรือความเชื่อด้านไสยศาสตร์มักจะเขียนเอาไว้ขณะที่มีการนำเสนอเรื่องราวในรายการของตัวเอง มองดูเหมือนทีมงานได้แสดงความรับผิดชอบไว้แล้วว่าได้คิดไตร่ตรองก่อนนำเสนอแล้ว ผู้ชมต้องใช้หลักความคิดและเหตุผลพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยที่ผู้ผลิตรายการเหล่านั้นไม่ทราบเลยหรือว่าคนไทยเรามีวิจารณญาณไม่เท่ากัน เด็กที่ชมอยู่อาจไม่มีวิจารณญาณเลย และรูปแบบการนำเสนอรายการนั้นไม่ได้มุ่งเน้นให้มีการคิดวิเคราะห์ก่อนเชื่อ แค่พยายามทำให้น่าสนใจจนผู้ชมส่วนใหญ่ต้องเชื่อ และเมื่อเราก็รู้ว่าท้ายสุดมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อหรือเหนือจริง บางคนใช้คำว่าเป็นเรื่องงมงายด้วยซ้ำไป แต่เหตุใดผู้ผลิตรายการทีวีจึงโยนภาระที่ต้องใช้การพินิจไตร่ตรองไปที่ผู้ชมซึ่งไม่รู้ว่ามีใครบ้าง แทนที่จะรับภาระที่ต้องพินิจไตร่ตรองเรื่องเหลือเชื่อพิสดารเหล่านั้นไว้เอง หากมีกรณีที่หมิ่นเหม่ อาจสร้างความเข้าใจผิด เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หรือมีโอกาสที่อย่างน้อยคนใดคนหนึ่งที่ดูอยู่อาจจะมีทัศนคติเชื่อในเรื่องแบบนี้ต่อไปในอนาคต ผู้ผลิตรายการทีวีหรือทีวีช่องนั้น ๆ น่าจะ "ใช้วิจารณญาณในการนำเสนอ" ให้มากกว่านี้ |
|
เช่นเดียวกันครับที่สังคมไทยในหลายๆ ด้านของเมืองไทยจากธุรกิจบางประเภท ทั้งสื่อสารมวลชน จนถึงบริษัทผู้ผลิตอาหารหรือสารธรรมชาติ กำลังโยนภาระในการเชื่อ การตัดสินใจ และโยนความเสี่ยงต่อทัศนคติหรือต่อสุขภาพให้แก่เราและลูกหลานของเราโดยเขียนเพียงข้อความสั้น ๆ เหมือนรายการทีวีเขียนซับไตเติ้ลแบบปัดความรับผิดชอบว่า "โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม" เท่านั้นเอง |
|
ดาวน์โหลดบทความคลิ๊กที่นี่ |
|
รศ.นพ.คมกริช ฐานิสโร
|
|